วัดพระธาตุสบฝาง
พระธาตุสบฝาง องค์พระมหาเจดีย์ที่ชาวพุทธไม่ควรลืมไม่สักการะครั้งหนึ่งในชีวิต
สถานที่บรรจุพระนลาฏธาตุ(กระดูกในส่วนหน้าผาก)ของพระพุทธเจ้า ที่ชาวพุทธหลายท่านยังไม่เคยไปสัมผัส เพื่อกราบไหว้ต่อองค์พระศาสนดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้มาประดิษฐาน ณ ดินแดนล้านนาแห่งนี้เป็นเวลาเกือบ 1,600 ปี
ตั้งอยู่เลขที่ 141/1 บ้านแม่เมืองน้อย (ป๊อกป่ายาง) หมู่ที่ 7 ต.แม่นาวาง เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยว อ.แม่อาย อีกแห่งหนึ่ง ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 100 ไร่ อาณาเขตทิศเหนือจดน้ำแม่กก ทิศใต้จดแม่น้ำฝาง ทิศตะวันออกจดบ้านป๊อกป่ายาง ทิศตะวันตกจดแม่น้ำกก
ประวัติ วัดพระธาตุสบฝาง
เป็นวัดโบราณตามประวัติพระเจ้าพรหมหาราช เป็นผู้ทรงสร้างในสมัยที่พระองค์ทรงสร้างเมืองไชยปราการแล้วได้สร้างวัด พระธาตุสบฝางไว้บนเขาลูกหนึ่งตรงปากแม่น้ำฝางกับน้ำกกมาบรรจบกันชาวบ้านจึงเรียกว่า “ พระธาตุสบฝาง ”
ระเบียงของวัด ที่จัดไว้กว้างขวาง เหมาะสำหรับชมวิวยิ่งนัก
ข้างหน้าที่เห็นตรงๆนั้น คือ สวนส้ม Tap และ สวนส้มธนาธร 8
ด้านซ้ายคือบ้านท่าตอน และวัดท่าตอน มองเห็นไกลๆ
ด้านขวาเป็นสะพานมิตรภาพ แม่นาวาง - ท่าตอน
ที่แบ่งมาจากการบรรจุพระธาตุลงในพระธาตุจอมกิตติ ของจังหวัดเชียงรายในปัจจุบัน(ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอนาจักรโยนกนครหรือเชียงแสนสมัยก่อน)
โดยสมัยก่อนพระเจ้าพรหมมหาราชได้รับมาจากพญาเรือนแก้วซึ่งเป็นบิดา ที่ได้รับพระราชทานมาจากพระองค์พังคราช กษัตริย์องค์ที่ 45 แห่งราชวงศ์สิงหนวัติ (ตามประวัตศาสตร์ของอนาจักรสิงหนวัติในสมัยพุทธศตวรรษที่ 9 พระพุทธโฆษาจารย์ได้เดินทางไปศึกษาธรรมะจากประเทศศรีลังกา และกลับเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในอนาจักรพม่า มอญ สุโขทัยและโยนกนคร) โดยการกลับมาได้นำพระบรมธาตุมาถวายพระองค์พังราช กษัตริย์องค์ที่ 45 แห่งราชวงศ์สิงหนวัติด้วย)
ต่อมาพระเจ้าพรหมหาราช ได้ให้ช่างหล่อพระพุทธรูปด้วยทองสัมฤทธิ์จำนวนมาก ซึ่งปัจุบันหลังจากในปี 2476 ได้เกิดไฟไหมและกระจายไปเก็บไว้ยังวัดต่างๆ ของอำเภอแม่อายอยู่หลายแห่ง
ในปี 2467 ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ได้รับรู้ถึงตำนานของพระธาตุสบฝางจึงได้เดินทางมาบูรณะพระธาตุสบฝาง (ซึ่งข้าพเจ้าได้รับรู้มาว่า ยังมีเกจิอาจารย์มากมาย เช่นหลวงปู่โต๊ะ ที่ได้เดินทางมากราบไหว้พระธาตุสบฝางแห่งนี้)
ในปี 2532 พระครูวุฒิญาณพิศิษฎ์ อดีตเจ้าคณะอำเภอแม่อายได้ทำการบูรณะพระเจดีย์อีกครั้งโดยใช้ปูนฉาบทับพระเจดีย์องค์เดิม ทำให้พระธาตุสบฝางเกิดความสวยงามจนถึงทุกวันนี้
ในปี 2547 พระราชสิทธาจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ (เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ) ได้เข้ามาฟื้นฟูและพัฒนา พระธาตุสบฝางในปัจจุบันหลังจากมีการบูรณะแล้วในปี 2547
จากคำกล่าวของเจ้าอาวาสวัดพระธาตุสบฝาง คำบอกเล่าของชาวบ้านใกล้เคียงและผู้เข้ามานั่งวิปัสนาซึ่งส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนกรุงเทพที่ศรัทธาในองค์พระธาตุ ได้เล่าว่า องค์พระธาตุสบฝางจะแสดงอภินิหาร มีลำแสงดวงไฟสีเขียว พุ่งออกจากพระธาตุ ในช่วงของวันสำคัญ เช่น วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันออกพรรษา เป็นต้น โดยผู้ที่รักษาศีล และเจริญในธรรมเท่านั้นที่จะเห็นได้
พระธาตุจอมกิตติ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ถือว่าเป็นพระธาตุองค์พี่ ของพระธาตุสบฝาง อำเภอแม่อาย ที่ก่อสร้างโดยพระเจ้าพรหมมหาราช ในเวลาไม่ห่างกันนัก
เหตุที่แพล่มกลางหนองนั้น ตำนานได้กล่าวไว้ว่า น้องชายของพ่อค้าได้ให้บริวารของเขา ยิงลูกของพญานาค (งู) แล้วเอามาเผาไฟสู่กันกิน พญานาคจึงโกรธ ออกจากถ้ำ มาปั่นน้ำในหนอง ให้เกิดฟองใหญ่ ในขณะที่แพของพวกพ่อค้า กำลังข้าม แพของพวกพ่อค้าก็แตกออกแล้วล่มจมลงในหนองนั้น
ส่วนพระเจ้าสุทโธ คิดว่าพระนางสามผิว ได้กระโดดบ่อน้ำตาย จึงได้ไปสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองฝาง เรียกว่าวัดเวียงสุทโธ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ ศาลจังหวัดฝาง และเรือนจำอำเภอฝาง ส่วนพระเจ้าฝาง ได้พาพระนางสามผิว และข้าทานบริวาร ไปประทับอยู่กับ พญาเมืองวชิรปราการ กำแพงเพชร จนสิ้นพระชนม์
ใน พ.ศ.2476 เกิดไฟไหม้วิหารวัดพระธาตุสบฝาง ครูบาแก้ว กาวิชโย จึงได้ขนย้ายพระพุทธรูป ไปฝากไว้ตามวัดต่างๆ มีวัดท่าตอน วัดสันโค้ง วัดแม่อายบ้านเด่น วัดแม่ฮ่างหลวง ซึ่งได้มีปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
เมื่อท่านครูบาแก้ว ถึงแก่มรณภาพ ครูบาก๋องคำ กัญจโน วัดแม่อายบ้านเด่น ได้รับการสืบทอด การรักษาดูแลต่อมา ครูบาก๋องคำ ได้สร้างศาลาการเปรียญ ไว้เป็นที่สำคัญ สร้างถังเก็บน้ำฝน ซ่อมองค์เจดีย์ มีการโบกปูนใหม่ เมื่อครูบาก๋องคำ มรณภาพลง พระครูโศภณเจติยาราม เจ้าคณะอำเภอฝางเป็นผู้ดูแลรักษา
จนมาถึง พ.ศ.2503 พระครูโสภณเจติยาราม ได้จัดให้พระครูสังฆรักษ์ธีระ ไปเป็นเจ้าอาวาส พระครูสังฆรักษ์ธีระได้ไปอาราธนาพระราชสังวรพิมล (หลวงปู่โต๊ะ) แห่งวัดประดู่ฉิมพลี ธนบุรี เมเป็นผู้อุปถัมภ์ พระครูสังฆรักษ์ธีระ ลงมือก่อสร้างอุโบสถยังไม่ทันสำเร็จ ท่านพระครูสังฆรักษ์ ก็ถึงแก่มรณภาพไป พระครูวุฒิญาณพิศิษฎ์ เจ้าคณะอำเภอแม่อาย ได้ไปขอพระปฏิบัติธรรม แห่งสำนักอาจารย์สนอง เรียกว่า สำนักสังฆทาน มาบริหาร เผยแผ่สั่งสอนการปฏิบัติธรรม ท่านได้มาอยู่เมตตาได้ 2 พรรษา แล้วก็ลากลับ
ต่อจากนั้น พระครูวุฒิญาณพิศิษฏ์ เจ้าคณะอำเภอได้มอบหมายให้พระครูคำบาง อชิโต เจ้าคณะตำบลแม่นาวางเป็นผู้ดูแล วัดพระธาตุสบฝาง พ.ศ.2532 พระครูวุฒิญาณพิศิษฏ์ ได้ลาออกจากตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอแม่อาย แล้วได้ไป ควบคุมดูแล และพาพระภิกษุ สามเณรไปจำพรรษา ได้ทำการก่อสร้าง ถาวรวัตถุหลายอย่าง เช่น อุโบสถ วิหารจตุรมุข และเสนาสนะอื่นๆ อีก
จนถึง พ.ศ.2534 พระครูศิลาจารโสภิส ได้ถึงแก่มรณภาพ ทางคณะสงฆ์ ตำบลแม่นาวาง ได้เสนอแต่งตั้ง พระครูวุฒิญาณพิศิษฏ์ เป็นเจ้าอาวาส วัดพระธาตุสบฝาง และได้จัดสร้างสถานที่ มีกุฏิกัมมัฏฐาน สร้างห้องน้ำให้พอเพียงกับผู้ที่มาพัก สร้างถังเก็บน้ำฝนไว้ใช้บริโภค
มาจนถึงปี พ.ศ.2540 พระครูวุฒิญาณพิศิษฏ์ ได้ถึงแก่มรณภาพ วัดพระธาตุสบฝาง จึงได้อยู่ในความดูแลของ เจ้าคณะตำบล หมุนเวียนกันไปรักษา ดูแลพระธาตุสบฝาง จนถึงปัจจุบันนี้
ขอบคุณข้อมูล ประวัติวัดพระธาตุสบฝาง จาก: Fangcity.com
การเดินทางไปวัดพระธาตุสบฝาง
ไปได้ สองทาง คือ ทางรถยนต์ มีถนนแยกจากบ้านสันโค้ง ตำบลแม่อาย ไปทางบ้านคายใน รถยนต์สามารถขับไปถึงบนพระธาตุ อีกทางหนึ่ง ลงเรือหางยาวจากบ้านท่าตอน ไปลงที่บันใดนาค ทางขึ้นวัดพระธาตุสบฝาง
ถ้าเดินทางตามถนนสาย 107 มาถึงบริเวณสวนส้มธนาธร ท่าตอน
จะมีป้ายบอกทางไป วัดพระธาตุสบฝาง ผ่านสะพานสร้างใหม่ ข้ามแม่น้ำกก
แวะจอดดูวิวน้ำกกสวยๆ
แวะจอดดูวิวน้ำกกสวยๆ
มาตามทางเรื่อยๆ จะเจอป้ายทางขึ้นวัด
ทางขึ้นร่มรื่นน่าดู แต่ค่อนข้างแคบ และขึ้นเขานิดๆ แต่ไม่ชันมาก
เจอประตูทางเข้าวัดแบบนี้ หากไม่สะดวกจะจอดไว้ข้างนอกประตู แล้วเดินมาก็ได้ นิดเดียว